แนวโน้มในอนาคตภายในครอบครัวจะมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น
เช่น โทรศัพท์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วีดิเท็กซ์ ไมโครคอมพิวเตอร์ ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศ
จึงมีความสำคัญมากในปัจจุบัน และมีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะเป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน
สารสนเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนับตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ การประมวลผล การเรียกใช้
และ การสื่อสารสารสนเทศรวมทั้งการแลกเปลี่ยนและใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
ซึ่งความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศสรุปได้ ดังนี้
- ช่วยในการจัดระบบข่าวสารจำนวนมหาศาลของแต่ละวัน
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสารสนเทศ เช่น การคำนวณตัวเลขที่ยุ่งยาซับซ้อน
การจัดเรียง ลำดับสารสนเทศ ฯลฯ
- ช่วยให้สามารถเก็บสารสนเทศไว้ในรูปที่สามารถเรียกใช้ได้ทุกครั้งอย่างสะดวก
- ช่วยให้สามารถจัดระบบอัตโนมัติเพื่อการจัดเก็บประมวลผล และเรียกใช้สารสนเทศ
- ช่วยในการเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วยในการสื่อสารระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดอุปสรรคเกี่ยวกับเวลาและระยะทาง
โดยการใช้ระบบโทรศัพท์ และอื่นๆ
2. ขอบข่ายของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ที่มา : http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS2mPegpEQ9ZN37e-GTg-sfVXJ498Cqn6asfQAO-7lfYzDUD8MM
ขอบข่ายของเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์และกระบวนการหลาย
ด้าน เช่น การสื่อสารระบบดาวเทียม เทคโนโลยีการจัดการฐานข้อมูล การจัดพิมพ์ระบบอิเล็กทรอนิกส์
การ ประมวลผลตัวเลข การประมวลผลภาพ คอมพิวเตอร์สำหรับช่วยออกแบบและช่วยการผลิต
(CAD/CAM) เป็นต้น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศจะประกอบด้วย
2.1 ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing System) เป็นระบบที่ทำหน้าที่ใน
การ ปฏิบัติงานประจำและทำการบันทึกจัดเก็บ ประมวลผลที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และให้สารสนเทศสรุปเบื้องต้นของการปฏิบัติงานประจำวันโดยมากจะนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาทำงานแทนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลมากขึ้นระบบประมวลผลรายการนี้มักเป็นระบบที่เชื่อมโยงกิจการกับลูกค้าหรือบุคคลภายนอก
2.2 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems) เป็นระบบ
สารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับกลาง เพื่อใช้ในการวางแผน บริหารจัดการและควบคุมงาน โดยทั่วไประบบ
นี้จะเชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่ในระบบประมวลผลเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสารสนเทศที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการ
บริหารอย่างมีประสิทธิภาพ
2.3 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหาร
ในการตัดสินใจสำหรับปัญหาที่อาจมีโครงสร้างหรือขั้นตอนการหาคำตอบที่แน่นอนตายตัวเพียงบางส่วนหรือ
เป็นกรณีเฉพาะ นอกจากนี้ระบบนี้ยังเสนอทางเลือกต่างๆ ให้ผู้บริหารพิจารณา เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะ
สมที่สุด หลักการของระบบสนับสนุนการตัดสินใจสร้างขึ้นจากแนวคิดการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
3 .หน้าที่ของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีหน้าที่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับ
“สารสนเทศ” ตามที่ต้องการถ้าปราศจากเทคโนโลยี สารสนเทศแล้วจะเป็นการยากอย่างยิ่งในการสื่อสารสารสนเทศทั้งนี้เพราะในภาวะปัจจุบันมี
สารนิเทศจำนวน มากมายมหาศาล เพราะการเพิ่มปริมาณของเอกสาร อย่างล้นเหลือ
(Publication Explosion) ทำให้เกิด
ภาวะที่เรียกว่า
“INFORMATION EXPLOSION” ประกอบกับสภาพวะเงินเฟ้อ รวมทั้งความคาดหวังของผู้
ใช้สารสนเทศที่ตื่นตัว และมีความต้องการสารสนเทศทั้งในแง่ของความรวดเร็วและความถูกต้อง
จึงทำให้มี การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีประโยชน์ต่อผู้ใช้สรุปได้ดังนี้
- ช่วยในการสื่อสารระหว่างกันอย่างรวดเร็ว
ทั้งโทรศัพท์ โทรสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
- เทคโนโลยีสารนิเทศใช้ในการจัดระบบข่าวสาร
ซึ่งผลิตออกมาแต่ละวันเป็นจำนวนมหาศาล
- ช่วยให้สามารถเก็บสารสนเทศไว้ในรูปที่สามารถเรียกใช้ได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะใช้กี่ครั้งก็ตาม
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสารสนเทศ
เช่น ช่วยนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรในด้านการคำนวณ ตัวเลขที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ซึ่งไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยมือ
- ช่วยให้สามารถจัดระบบอัตโนมัติ
เพื่อการเก็บ เรียกใช้และประมวลผลสารสนเทศ
- สามารถจำลองแบบระบบการวางแผนและทำนาย
เพื่อทดลองผลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
- อำนวยความสะดวกใน
“การเข้าถึงสารสนเทศ” (ACCESS) ดีกว่าสมัยก่อนทำให้บุคคลและองค์กร
มีทางเลือกที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพกว่า และสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ดีกว่า
- ลดอุปสรรคเกี่ยวกับเวลาและระยะทางระหว่างประเทศ
4. การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาหลายเรื่องด้วยกันได้แก่
4.1 การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศด้านใดบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานจะเห็นแล้วว่า
เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นสามารถนำไปประยุกต์ได้หลายด้าน
4.2 การวางแผนกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยงานขนาดใหญ่ระดับกระทรวง กรม หรือ บริษัทขนาดใหญ่จำเป็นจะต้องมีแผนกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม
เพื่อใช้เป็นแผนที่สำหรับ นำไปสู่การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.3การกำหนดมาตรฐานเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ
มาตรฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นมีอยู่หลายเรื่อง มาตรฐานทางด้านตัว เครื่องคอมพิวเตอร์
จะต้องเป็นแบบที่ทำให้เครื่องและอุปกรณ์ทั้งหลายทำงานร่วมกันได้
4.4 การลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
เราควรลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากสักเท่าใด
นี่เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจนและทำให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศมีปัญหากับ
ผู้บริหารองค์กรเพราะผู้บริหารองค์กรไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศไปมากนัก
4.5 การจัดองค์กร
เมื่อมีแผนงานและงบประมาณสำหรับดำเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ แล้ว ต่อไปก็จำเป็นที่จะต้องพยายามสร้างองค์กรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานให้เข้มแข็งมากขึ้น
- หน่วยงานที่จะดูแลทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
- บุคลากรที่เหมาะ
- ผลตอบแทนต่อบุคลากร
4.6 การบริหารงานพัฒนาระบบ
การพัฒนาระบบนั้นเป็นงานที่ต้องวางแผนอย่างดี
4.7 การจัดการผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
คือพยายามทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกที่ดีต่อแผนกเทคโนโลยี สารสนเทศ และขณะเดียวกันก็สามารถทำงานให้ตัวเองได้ภายในกฏเกณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วย
งาน เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องการไม่ทำตามมาตรฐานที่กำหนด
4.8 การจัดการข้อมูล
ปัญหาคือการแบ่งปันการใช้ข้อมูล การที่แผนกต่างๆ ต้องพยามยามจัดเก็บ ข้อมูลมาใช้เอง
ทำให้ต้องทำงานซ้ำซ้อน และเกิดความสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะฉะนั้นต้องหาทางประสาน
งานให้ผู้ใช้ทุกหน่วยงานแบ่งปันข้อมูลกัน
4.9 การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบ
การนำเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมมาใช้นั้น เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกทำงานร่วมกับเราได้
ถ้าหากบุคคลภายนอกเหล่านี้ทำงานตรงไปตรงมา เราก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่บุคคลภายนอกบางคนอาจจะมีความประสงค์ร้าย
คืออาจจะต้องการโจรกรรม ข้อมูลของหน่วยงานไปใช้ หรือต้องการทำลายข้อมูลที่เราบันทึกเก็บไว้
ด้วยเหตุนี้ผู้บริหาร งานเทคโนโลยี สารสนเทศจึงจำเป็นจะต้องคิดหาวิธีที่จะป้องกันอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆทั้งฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์ และข้อมูล ไม่ให้ถูกบุคคลภายนอกทำลายได้
4.10 ความสัมพันธ์กับผู้บริหาร
เราต้องพยายามสร้างผลงานที่ผู้บริหารเห็นแล้วประทับใจ ต้อง พยามยามชี้ว่าการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้นั้นคุ้มค่าเงินลงทุนและทำให้การทำงานโดยรวมมีประสิทธิภาพ
4.11 การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
งานวิจัยนี้อาจเป็นเพียงงานขนาดเล็กที่ทำเพื่อให้ เข้าใจผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
5. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ
จะมีลักษณะเป็นแบบการประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะในสภาพสังคม ปัจจุบัน มนุษย์สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยปฏิบัติงานในด้านต่างๆ
ได้อย่างมีประสิทธิผลได้แก่
5.1 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานสำนักงาน ปัจจุบันสำนักงานจำนวนมากได้นำ
เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ความถูกต้อง
ซึ่งการประยุกต์ใช้กับงานสำนักงานได้ในหลายลักษณะ
เช่น งานจัดเก็บเอกสาร ได้แก่ การใช้เครื่อง ประมวลผลคำ(Word
Processing) เป็นเครื่องมือในการจัดเตรียมอุปกรณ์ประกอบการใช้เทคโนโลยีนี้
ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็ม และช่องทางการสื่อสาร ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงสารสนเทศระหว่างแผนก
หรือระหว่างหน่วยงาน ทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกที่อยู่ห่างไกล
5.2
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งนำระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(Management Information System : MIS) เข้ามาช่วยจัดการด้าน ผลิต การสั่งซื้อ
การพัสดุ การเงิน บุคลากร และงานด้านอื่นๆ
- อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์
ได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบรถยนต์ ปฏิบัติการการผลิต การขับเคลื่อน การบริการ และการขาย รวมทั้งออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถปฏิบัติงานในโรงงานได้ในรูปแบบ
หุ่นยนต์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มสมรรถนะในการผลิต และลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน
- อุตสาหกรรมการพิมพ์
อุตสาหกรรมประเภทนี้ ใช้ระบบการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic
Publishing) ในการจัดเตรียมต้นฉบับบรรณาธิกรณ์ตีพิมพ์ จัดเก็บ และจำหน่าย
และสามารถพิมพ์ข้อมูล จากระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) วีดิโอเท็กซ์ วัสดุย่อส่วนและเทเลเท็กซ์ได้ รวมทั้งการพิมพ์ภาพ โดยใช้เทอร์มินัลนำเสนอภาพ
(Visual Display Terminal)
5.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการเงินและการพาณิชย์ สถาบันการเงินเช่นธนาคาร ได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของ
ATM เพื่ออำนวยความสะดวกในการฝากถอน โอนเงิน ในส่วนของ งานประจำธนาคารต่างนำคอมพิวเตอร์ระบบออนไลน์และออฟไลน์เข้ามาช่วยปฏิบัติงาน
5.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการบริการการสื่อสาร
ได้แก่ การบริการโทรศัพท์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี การค้นคืนสารสนเทศระบบออนไลน์
ดาวเทียม และโครงข่าย บริการสื่อสารร่วมระบบดิจิตอล (ISDN) เป็นต้น
5.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านการสาธารณสุข
สามารถนำมาประยุกต์ได้หลาย ด้าน ได้แก่
- ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล
(Hospital Information System : HIS) เป็นระบบที่ช่วย ด้าน
Patient record หรือ เวชระเบียน ระบบข้อมูลยา การรักษาพยาบาล การคิดเงิน
มีลักษณะแบบจุลภาค แต่สามารถขยายเป็นระดับมหภาคได้ เมื่อโรงพยาบาลทั่วประเทศแลกเปลี่ยน
และส่งเวชระเบียนผ่านระบบ โทรคมนาคมเป็นโทรเวชกลายๆได้
- ระบบสาธารณสุข
ใช้ในการดูแลป้องกันโรคระบาดในท้องถิ่น
- ระบบผู้เชี่ยวชาญ
(Expert System) เป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์วินิจฉัยโรค และเริ่ม ผู้นำมาประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ
มากขึ้น เลยไปถึงเรื่องโรคพืชและสัตว์หลักการที่ใช้ คือ เก็บข้อมูลต่างๆไว้ให้ ละเอียด
แล้วใช้หลักปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial intelligence :AI มาช่วยวิเคราะห์
5.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
กับงานด้านการฝึกอบรมและการศึกษา
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษานั้น
มีแนวทางในการใช้มากมายขึ้นแต่ที่ ใช้กันอยู่โดยทั่วไปมี
6 ประเภท คือ
- การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(Computer Assisted Instruction : CAI) เป็นการนำเอา คออธิบายบทเรียนมาบรรจุไว้ในคอมพิวเตอร์
แล้วนำบทเรียนนั้นมาแสดงแก่ผู้เรียน เมื่อผู้เรียนอ่านคำอธิบาย นั้นแล้ว คอมพิวเตอร์ก็จะทดสอบความเข้าใจว่าถูกต้องหรือไม่
หากไม่ถูกต้องก็ต้องมีวิธีการอธิบายเนื้อหา เพิ่มเติมให้เข้าใจมากขึ้น แล้วถามซ้ำอีก
ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาการถึงระดับใช้สื่อประสม และใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อให้การสอนบรรลุผลสัมฤทธิ์มากขึ้น
- การศึกษาทางไกล
เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการศึกษาทางไกลมีหลายแบบ
- เครือข่ายการศึกษา
เป็นการจัดทำเครือข่ายการศึกษา เพื่อให้ครู อาจารย์ และนักเรียน นักศึกษามีโอกาสใช้เครือข่ายเพื่อเสาะแสวงหาความรู้ที่มีอยู่อย่างมากมายในโลก
และใช้บริการต่างๆ ที่ เป็นประโยชน์ทางการศึกษา เช่น บริการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
(E-mail) การเผยแพร่ และค้นหาข้อมูล ในระบบเวิลด์ไวด์เว็บ
(World Wide Web)
- การใช้งานห้องสมุด
ในปัจจุบันห้องสมุดมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนเกือบทุกแห่ง ได้ นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงาน
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้มีความร่วมมือในการให้การบริการ ในลักษณะเครือข่าย เช่น โครงการ
PULINET (Provincial University Network) และโครงการ
THAILINET (Thai Library Network) การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในห้องสมุด
ทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวก มากขึ้น เช่น บริการยืมคืน การค้นหาหนังสือ วารสาร สิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
ที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
- การใช้งานในห้องปฏิบัติการ
มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำงานใน ห้องปฏิบัติการร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น
การจำลองแบบ การออกแบบวงจรไฟฟ้า การควบคุมการทดลอง ซึ่งอุปกรณ์ที่ทันสมัยในปัจจุบัน
ต่างผนวกความสามารถของเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปด้วยแทบทั้งสิ้น
- การใช้ในงานประจำและงานบริหาร
เช่น การจัดทำทะเบียนประวัติของนักเรียน นักศึกษา การเลือกเรียน การลงทะเบียนเรียน
การแสดงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กาแนะแนวอาชีพ และศึกษาต่อ ข้อมูล ผู้ปกครอง หรือ ข้อมูลครู
ที่มา : http://4.bp.blogspot.com/-eNfnaJYbZQ4
/UOkXJ8OcjrI/AAAAAAAAAKs/zMX29DDlOd4/s1600/image18.jpeg
6.
ซอฟต์แวร์เพื่อสังคม (Social software)
6.1 ความหมาย
ซอฟต์แวร์เพื่อสังคม
คือซอฟต์แวร์ที่ทำให้ผู้คนสามารถนัดพบปะ เชื่อมสัมพันธ์หรือทำงาน ร่วมกันโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง
เกิดเป็นสังคมหรือชุมชนออนไลน์ คำนี้มีความหมายมากกว่าสื่อเก่าๆ อย่าง
Mailing List และ UseNet กล่าวคือหมายรวมถึง
E-mail, msn, instant messaging, web, blog และ wiki สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการทำงานร่วมกันเรียกว่า collaborative
software ในการศึกษา ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมนั้น เราต้องทำความเข้าใจกับคำว่า
ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมก่อน ส่วนการจำแนกกลุ่มของ ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมนั้น ในตอนนี้แบ่งเป็น
2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ใช้ประโยชน์ในการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต และ
กลุ่มที่ใช้ประโยชน์ในการจัดการความรู้
6.2 ชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
เครื่องมือซอฟต์แวร์สังคม
สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ เครื่องมือเพื่อการสื่อสาร และเครื่องมือเพื่อการจัดการความรู้
1) เครื่องมือเพื่อการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร สองฝ่ายไม่พร้อมกัน
(asynchronous) คือไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากัน ตัวอย่างเช่น การใช้
E-mail , Web board , Newsgroup เป็นต้น และอีกประเภทหนึ่งคือ เครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารคนสองคนหรือเป็นก
ลุ่มแบบสองฝ่ายพร้อมกัน (synchronous ) เช่น การสนทนาผ่านโปรแกรม
Chat , ICQ , MSN เป็นต้น
2) เครื่องมือเพื่อการสร้างการจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือในกลุ่มที่ใช้เพื่อประโยชน์
เพื่อการจัดการความรู้ มีหลายอย่าง โดยแบบเบื้องต้นเช่น การสืบค้นข้อมูล ส่วนในระดับถัดมา
เป็น เครื่องมือเพื่อการใช้ข้อมูลร่วมกัน รวมทั้งให้ความรู้ และสร้างความรู้ใหม่ เช่น
Wiki , Blog เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในการการปฏิสัมพันธ์ ต่างจากเครื่องมือเพื่อการสื่อสาร
ตรงที่เครื่องมือเพื่อการ ปฏิสัมพันธ์นี้มุ่งเน้นเพื่อเสริมสร้างการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ใช้โดยอาศัยกลไกของการพูดคุยสนทนากัน
6.3 ตัวอย่างเครื่องมือทางสังคมต่างๆ
1) Blog
Blog มาจากคำเต็มว่า
WeBlog บางครั้งอ่านว่า We Blog บางคนอ่านว่า
Web Log แต่ ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน Blog คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลง บนเว็บไซต์
ใน blog นั้นจะมีเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ เช่น การเขียนเรื่องราวของตนเอง
การเขียนวิจารณ์
เรื่องราวหรือหัวข้อหรือสิ่งที่ตนเองสนใจต่างๆ
เช่น การเขียนวิจารณ์สถานการณ์การเมืองของประเทศไทย หรือการบอกถึงผลที่ได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมา เป็นต้น
Blog ประกอบด้วย
ข้อความ, hypertext, รูปภาพ และ ลิงค์
(ไปยังเว็บ, วีดีโอ, ข้อมูลเสียงและ
อื่นๆ) blog จะอยู่ในรูปบทสนทนาระหว่างเอกสาร โดยผู้ที่ใช้
blog สามารถเขียนข้อความแสดงความคิด เห็นของตนเองได้ ซึ่ง
blog มีทั้งเป็น blog เฉพาะบางกลุ่ม หรือเป็น
blog ทั่วๆ ไปก็ได้ การเพิ่มบทความ ให้กับ blog ที่มีอยู่ เรียกว่า “blogging” บทความใน
blog เรียกว่า “posts” หรือ “entries”
บุคคลที่ โพสลงใน “entries” เหล่านี้เรียกว่า
“blogger”
จุดเด่นที่สุดของ
Blog ก็คือ Blog สามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง
ที่สามารถสื่อถึงความเป็น กันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของบล็อกนั้น
ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง ความสะดวกและง่ายในการเขียน
Blog ทำให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็น ของผู้เขียน blog ได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังมีการ comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันได้อีกด้วย
บางครั้งทำให้ เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ เพราะบางครั้ง ข้อมูลจาก Blog เป็นข้อมูลที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนอีกด้วย
Blog จะมีลักษณะบางประการที่แตกต่างจากเว็บเพจมาตรฐานทั่วไป blog จะมีอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ สร้างหน้าเว็บใหม่ได้ง่าย เช่น การใส่ข้อมูลใหม่(โดยมีหัวข้อ, ประเภท, และเนื้อความ)
ทำได้ง่าย มี template อัตโนมัติที่จะจัดการการเพิ่มบทความตามวันที่และหัวข้อเป็น
archive มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภท ผู้แต่งหรืออื่นๆ นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ดูแลจัดการ
blog สามารถเชิญ หรือ เพิ่มผู้แต่งคนอื่น โดยจัดการเรื่อง การอนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลเป็นไปโดยง่าย
Blog แตกต่างจากฟอรั่มหรือ newsgroup ตรงที่เฉพาะผู้แต่งหรือกลุ่มผู้แต่งที่จะสามารถสร้างหัวข้อ
ใหม่ใน blog เครือข่ายของ blog อาจเป็นเหมือนฟอรั่มในแง่ที่ว่าทุกหน่วยในเครือข่าย
blog สามารถสร้าง หัวข้อได้ในหน่วยนั้นๆ เครือข่ายแบบนี้ต้องมีการเชื่อมโยงกัน
group blog ที่มีหลายคนที่ post ข้อความได้ เป็นที่แพร่หลายทั่วไป
หรือแม้แต่ blog ที่คนทั้งหลายโพสที่ blog ได้ โดยเจ้าของ blog หรือ บรรณาธิการ ของ
blog จะเป็นผู้เปิดประเด็นการอภิปราย
ข้อความและ
hyperlinks เป็นที่พบเห็นได้ทั่วไปตาม blog ต่างๆ
แต่บาง blog จะเน้นรูปภาพ (เช่น
web comics และ photoblogs) และ วีดีโอ บาง
blog ลิงค์ไปที่ไฟล์เสียง (podcasting) blog สำหรับ
mp3 ก็มีข้อมูลเพลงแยกตามประเภท blog บางอย่างปรากฏเฉพาะบนมือถือเรียกว่า
moblog การจะพิจารณาว่า blog ใดได้รับความนิยมเพียงใดอาจจะพิจารณาจากการ
อ้างอิงถึงและการเข้ารวมพวกและอ้างถึงกัน(affiliation) เพราะว่าสองอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงว่าคนได้เข้ามาอ่านเนื้อหาและตัดสินใจว่ามีคุณค่าหรือไม่เพียงใด
Blogger หลายคนสนับสนุนประเด็นการเคลื่อนไหวเรื่อง open
source ธรรมชาติของการเผย แพร่โดยอิสระช่วยให้ blog ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก บาง blog นั้น ลูกจ้างอาจจะก่อรำคาญใจต่อ
นายจ้างและทำให้บางคนถูกไล่ออก
Blog ถูกมองว่าเป็นการรวบรวมความคิดของมนุษย์ สามารถนำมาใช้ช่วยกับปัญหาด้านจิตวิทยา
เช่น โรคซึมเศร้าและการเสพติด นอกจากนี้ก็สามารถนำมาช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรมได้ เช่น
ในปี 2005 นาย Simon Ng ได้โพส
entry ซึ่งในที่สุดช่วยจับตัวฆาตกรได้ ไม่เพียงเท่านั้น blog
ยังส่งผลให้ชนกลุ่มน้อย ที่มีผู้พูดและศึกษาภาษาของชนกลุ่มนั้น ๆ ไม่มาก
มารวมกลุ่มกันเช่น Scottish Gaelic blogs ซึ่งอาจจะมี ประชาการอยู่ประเทศคาคักสถานและในรัฐอเมริกา
ดังนั้นblogging จึงเป็นช่องทางเผยแพร่งานพิมพ์อย่าง ประหยัดและมีประสิทธิภาพ
2) Internet
Forum
Internet
Forum เป็นส่วนหนึ่งใน World Wide Web ที่มีไว้สำหรับเก็บการอภิปราย
หรือ ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการด้านนี้ ฟอรั่มในเว็บเริ่มประมาณปี 1995 โดยทำหน้าที่คล้ายกับ bulletin board และ
newsgroup ที่มีมากมายในยุค 1980s และ
1990s ความเป็นชุมชนเสมือนของฟอรั่มเกิดจากผู้ใช้ขาประจำประเด็นที่เป็นที่นิยมของฟอรั่มทั่วไปมี
เทคโนโลยี เกมคอมพิวเตอร์ และการเมือง เป็นต้น
Internet
forums อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถโพสหัวข้อลงไปในกระดาน ผู้ใช้คนอื่นๆ ก็สามารถ
เลือกดูหัวข้อหรือม้กระทั่งโพสความคิดเห็นของตนเองลงไปได้ ฟอรั่มโดยส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ใคร
ก็ได้สามารถละเบียนเข้าใช้งานได้ตลอดเวลา มีเพียงบางฟอรั่มที่จำกัดสมาชิกให้มีความเป็นส่วนตัวโดย
อาจจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อเข้าใช้งานเป็นกลุ่มเฉพาะ เช่น Forum รวบรวมเกมส์ (http://www. thaigaming.com/forum) Forum เกี่ยวกับ computer และ internet
(http://rcweb.net/forums) ฟอรั่มแต่ละที่ก็จะมีลักษณะการทำงานและการใช้งานแตกต่างกัน
เช่น บางที่สามารถ ใส่รูปภาพหรือแฟ้มข้อมูลต่างๆ ได้ บางที่มีโปรแกรมแปลและตรวจสอบการสะกดคำเป็นต้น
3) Wiki
Wiki อ่านออกเสียง “wicky”, “weekee” หรือ
“veekee” เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เรา สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์
โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร html เหมือน แต่ก่อน แต่ Wiki เน้นการทำระบบสารานุกรม , HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ
แขนงเข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะ มีเครื่องมือที่ใช้ทำWiki หลายอย่าง
เช่น Wikipedia , MoinMoin , WackoWiki เป็นต้น
Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม(Encyclopedia) สาธารนะ
ที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้ รองรับภาษา มากกว่า 70 ภาษารวมทั้งภาษาไทย
สำหรับภาษาไทยสามารถเข้าอ่านได้ http://th.wikipedia.com
4) Instant
Messaging
เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่ายที่เป็นแบบ
relative privacy ตัวอย่าง client ที่เป็นที่นิยมเช่น
Gtalk, Skype, Meetro, ICQ, Yahoo Messenger , MSN Messenger และ
AOL Instant Messenger เป็นต้น ในการใช้งานดังกล่าวจะสามารถเพิ่มรายชื่อให้อยู่ใน
contact list หรือ buddy list ได้ โดยการใส่
e-mail address หรือ messenger ID ลงไป ถ้าคนๆนั้น
onlineขึ้นมา ชื่อของคนนั้นจะปรากฏขึ้นมาและสามารถ chat ได้โดยการคลิกไปที่ชื่อนั้นแล้วพิมพ์ข้อความที่
ต้องการสนทนาลงไปใสช่องหน้าต่างที่กำหนดให้สำหรับพิมพ์ข้อความ
รวมถึงสามารถอ่านข้อความที่โต้ตอบ ได้โดยอาจผ่านหน้าจอเดียวกัน เช่น โปรแกรม
Google Talk (http://www.google.com/talk/), ICQ (http://www.icq.com) เป็นต้น
5) Social
network services
Social
network services จะอนุญาตให้ใครก็ได้แบ่งปันความรู้ สิ่งที่สนใจต่าง
ๆ ร่วม กัน เช่น บางที่สร้างเพื่อเอาไว้นัดเดทกัน เพราะฉะนั้นผู้ใช้ก็อาจจะโพสข้อมูลส่วนตัว
ที่อยู่ เพศ เบอร์โทรศัพท์ เพื่อให้ผู้อื่นที่สนใจสามารถค้นหาข้อมูลได้โดยสะดวก ตัวอย่างเช่น
iKarma, ArtBoom, Orkut, Friendster, Linkedin, openBC, Facebook, Twitter เป็นต้น
6) Social
guides
เป็นที่สำหรับการนัดพบกันได้จริงๆ
บนโลก เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร เป็นต้น ตัวอย่าง เช่น
CafeSpot, Tagzania และ WikiTravel เป็นต้น
7) Social
bookmarking
บางที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถโพส
list of bookmark ( favorite websites ) ลงไปได้เพื่อ แลกเปลี่ยนแหล่งข้อมูลที่ตนเองสนใจ
เช่น Linko , Spurl , BlinkList , RawSugar เป็นต้น
8) Social
Citations
มีลักษณะคล้าย
social bookmarking มาก แต่จะเน้นไปทางด้านการศึกษาของนิสิต นักศึกษา
โดยอนุญาตให้ผู้ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ งานวิจัย หรือสาระความรู้ที่สนใจ โดยสามารถแบ่งเป็น
หมวดหมู่ต่าง ๆ ตามแต่ผู้ใช้จะจัดสรร
9) Social
Shopping Applications
มีประโยชน์ในเรื่องการเปรียบเทียบสินค้าดูรายการสินค้า เป็นต้น ตัวอย่างเช่น SwagRoll,
Kaboodle , thethingsiwant.com และ Yahoo! Shoposphere
10) Internet
Relay Chat
Internet
Relay Chat หรือ IRC จะอนุญาตให้ผู้ใช้สนทนาในห้อง
chat rooms ซึ่งอาจมี หลายๆคนที่เข้าใช้งานในกลุ่มสนทนาในห้องดังกล่าว
ผู้ใช้สามารถสร้างห้องใหม่หรือเข้าไปในห้องที่มีอยู่แล้ว ก็ได้ ทั้งนี้ผู้ใช้คนนั้นๆ
อาจพิมพ์ข้อความลงไปแล้วให้คนทั้งห้องอ่านได้ ซึ่งผู้ใช้ในห้องแต่ละห้องอาจจะมีการ
เข้าไปใช้งานและออกจากห้องสนทนาอยู่ตลอด ผู้ใช้ยังสามารถเชิญผู้ใช้คนอื่นเข้ามาร่วมสนทนาในห้องที่ตนเอง
อยู่หรือเป็นผู้สร้างเองก็ได้ ซึ่งในการสนทนาระหว่างกันนั้นจะเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
หรือหลายต่อหลายก็ได้
11)
Knowledge Unifying Initiator (KUI)
Knowledge
Unifying Initiator หรือเรียกย่อๆ ว่า KUI หรือ
“คุย” ในภาษาไทย หมายถึงการสนทนา โดยคำว่า
Knowledge Unifying Initiator หมายถึง กลุ่มผู้รวบรวมความรู้ โดย
KUI จัดว่าเป็นซอฟต์แวร์ทางสังคม(Social Software) และการจัดการความรู้ (Knowledge anagement) เนื่องจากภายในโปรแกรม
KUI ประกอบด้วยโครงสร้างซึ่งแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลักดังนี้
-
Localization เป็นการเสนอคำแปลความหมายของประโยค วลี หรือคำศัพท์
- Opinion
Poll เป็นการเสนอความคิดเห็นจากการสำรวจความคิดเห็น
- Public
Hearing เป็นข้อเสนอแนะ การตีความ ประชาพิจารณ์ ร่างกฎหมาย
นอกจากนี้แล้วในแต่ละ
3 หมวดหลักก็จะมีรายละเอียดในแต่ละส่วนการทำงานแตกต่าง กันไปอีก โดย
KUI ซึ่งคาดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการสร้างความรู้ใหม่ ๆ คือมีการเสนอประเด็นความเห็น
ร่วมกัน ซึ่งโต้แย้งถกเถียงได้คล้ายเว็บบอร์ด
6.4 การใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์เพื่อสังคม
ซอฟต์แวร์เพื่อสังคม
(Social software) ใช้ประโยชน์ในการประมวลทางสังคม (Social
computing) ในยุคที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
เป็นทุนในการพัฒนาสังคม ในยุคนี้มี ความจำเป็นจะต้องสร้างระบบที่ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากสมาชิกในสังคมให้มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมใหม่ให้กับภาคประชาสังคม เพื่อให้ประชาคมในทุกภาคส่วนได้มีโอกาสที่จะเข้า
ถึงและทำงานเพื่อสังคมของตนด้วยตนเอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นในการออกแบบซอฟต์แวร์เพื่อ
สังคมจึงเน้นให้เป็นความเป็นปัจเจก (individual) ของบุคคลไว้
การให้โอกาสปัจเจกบุคคลสามารถแสดงออก สู่สาธารณะโดยมีกระบวนการที่สนับสนุนให้มีการตอบสนองจากสังคมอย่างเท่าเทียมเป็นปารถนาสูงสุดของ
การประมวลทางสังคม
บล็อก
(blog) หรือที่บางคนเรียกว่ากล่องข้อความ เป็นซอฟต์แวร์เพื่อสังคมที่สามารถใช้
เพื่อการเสนอ (Post) ข้อความต่อผู้อื่นในสังคม
โดยสามารถให้ผู้อ่านบล็อกมีส่วนร่วมในการเสนอความคิด เห็น (comment) ต่อข้อความที่เสนอได้โดยปกติแล้วผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปจะสามารถใช้บล็อกได้โดยไม่
ต้องมีความรู้ทางเทคนิคมากนัก
เมื่อบุคคลมีบล็อกของตนเองแล้วเขาย่อมมีโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็น ต่อเรื่องราวต่าง
ๆ ที่เขาคิดเห็นว่าเขาควรมีส่วนร่วมได้ด้วยตนเองและเขาย่อมจะมีสิทธิที่จะขอรับความคิด
เห็นจากผู้อ่านบล็อกของเขาได้บล็อกจะเรียงลำดับเหตุการณ์จากปัจจุบันไปอดีต จึงเป็นโอกาสที่ผู้ใช้จะบัน
ทึกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้บันทึกได้ในทุก ๆ เรื่อง ตามประสงค์ของผู้บันทึก ดังนั้นบล็อกจึงสามารถใช้เป็น
แหล่งข้อมูลเบื้องต้นในกระบวนการจัดการความรู้
ที่มา : http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/tc.jpg
7. การสืบค้นสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่
จนได้รับสมญานามว่า “ห้องสมุดโลก” ซึ่งมีข้อมูล หลากหลายประเภทและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในการที่เราจะค้นหา
ข้อมูลที่ต้องการได้ อย่างรวดเร็วนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับแหล่งข้อมูลนี้
นั่นคือ มักประสบปัญหาไม่ทราบ ว่าข้อมูลที่ต้องการนั้นอยู่ในเว็บไซต์ใด ดังนั้นจึงได้มีเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลต่างๆ
บนอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า เครื่องมือช่วยค้น หรือ เซิร์ชเอ็นจิน (Search
Engine)
7.1 ลักษณะรูปแบบการค้นหาสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต มี 3 ลักษณะ
คือ
1) การค้นแบบนามานุกรม
(Directory) หมายถึงการแจ้งแหล่งที่ตั้ง ซึ่งบรรจุเนื้อหาหรือ เว็บไซต์ต่างๆ
ไว้เป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มใหญ่ ๆ และแต่ละกลุ่มจะแบ่งเป็นเรื่องย่อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับ
หลักการจัดหมวดหมู่หนังสือในห้องสมุด ซึ่งการจัดทำแบบนามานุกรมนี้มีข้อดีคือ ช่วยให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่
ตรงกับความต้องการ เนื่องจากนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระบบและสามารถกำหนดค้นได้ง่ายใน
หัวข้อโดยเลือกจากรายการที่ทำไว้แล้วเว็บไซต์ที่มีการจัดเรียงข้อมูลไว้แบบนามานุกรมเช่น
www.yahoo. com www.lycos.com www.sanook.com www.siamguru.com เป็นต้น
2) การค้นหาแบบดรรชนี (Index) หรือคำสำคัญ
(Keywords)
เป็นการค้นหาข้อมูลในลักษณะคำหรือวลี
ข้อความต่างๆ ที่อาจจะเป็นคำสำคัญ (Keyword) ในการค้นหาลักษณะนี้ตัวโปรแกรมหรือเว็บไซต์จะมีเครื่องมือช่วยในการทำดรรชนีค้นที่เรียกว่า
Spider หรือ Robot หรือ Crawler ทำหน้าที่เช็คตามหน้าเว็บต่างๆ ของเว็บไซต์ที่มีการเปิดดูอยู่ แล้วนำคำที่ค้นมาจัดทำเป็นดรรชนีค้นหาโดยอัตโนมัติ
ซึ่งการค้นแบบนี้จะสามารถค้นหาเว็บเพจใหม่ๆและทันสมัยมากกว่าการค้น แบบนามานุกรม แต่ทั้งนี้การสืบค้นแบบนี้จะต้องมีเทคนิควิธีการค้นเฉพาะด้านด้วย
3) การค้นหาแบบ Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้
คือ สามารถ เชื่อมโยงไปยัง Search
Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล
แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุด ด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร
และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ ด้วย
7.2
เครื่องมือประเภทใช้โปรแกรมค้นหา (Search engines)
โปรแกรมค้นหาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ
ค้นคืนสารสนเทศบน World Wide Web กันอย่าง
แพร่หลาย จัดทำดรรชนีของเนื้อหาเอกสารบนเว็บไซต์ทีละหน้าโดยจัดทำดรรชนีด้วยเครื่องกล
ข้อดีของการใช้โปรแกรมค้นหาคือ
ครอบคุลมเนื้อหากว้างขวางและละเอียดเนื่องจากจัดทำดรรชนีทีละเว็บเพจและฐานข้อมูลมีการปรับปรุงให้ทันสมัยเป็นปัจจุบันตลอดเวลา
เนื่องจาก spider จะ ตรวจสอบและจัดทำดรรชนีอย่างสม่ำเสมอ
มีการเพิ่มหน้าเว็บเพจใหม่ และตัดหน้าเว็บเพจที่ไม่ทำงานออก ไปโดยอัตโนมัติอย่างน้อย
1 ครั้งในแต่ละวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น